ในประเทศไทย มะเร็งปอดในผู้ชายมีสัดส่วนที่มีนัยสำคัญจากมะเร็งทั้งหมด ตามสถิติ
มะเร็งปอดในผู้ชายคิดเป็น 19.7% ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด และ 23.9%
ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งหมดในปี 2563
มะเร็งปอดไม่เพียงแต่มีอัตราการเกิดในผู้ชายไทยสูงเท่านั้น
แต่ยังมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากอีกด้วย
มะเร็งปอดส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (NSCLC) ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 85%
และมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก (SCLC) ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 15%
- ไอเรื้อรัง
- เสมหะเป็นเลือด
- ปวดหลัง
- หายใจลำบาก
- กลืนลำบาก
- มีไข้
อาการทางระบบอาจได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนแรง และอาจมีไข้
หากเนื้องอกแพร่กระจายไปไกล อาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอวัยวะที่แพร่กระจาย
- ประมาณ 80%-85%: ระยะแรก (ระยะที่ 1):
- ประมาณ 30%-60%: ระยะลุกลาม (ระยะ II-III):
- ประมาณ 2% ถึง 5%: ระยะสุดท้าย (ระยะ IV):
การระกษาด้วยเทคนิคบาดแผลเล็ก
- 1. ไม่ต้องผ่าตัดทรวงอก ไม่ทำลายการทำงานของปอด รักษาตรงจุด และมีประสิทธิภาพสูง
- 2. บาดเจ็บน้อยลง ผลข้างเคียงน้อยลง ภาวะแทรกซ้อนน้อยลง เจ็บปวดน้อยลง และฟื้นตัวได้เร็ว
- 3. รอบการรักษาประมาณ 1 ถึง 2 สัปดาห์ และระยะเวลาพักฟื้นสั้น
- 4. ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรอเข้าแถวและสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที
- 5. การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวเพื่อให้มั่นใจถึงความเป็นส่วนตัวในระดับที่ดี
- การผ่าทรวงอกแบบดั้งเดิม
- 1. แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่ ต้องตัดซี่โครง 1-2 ซี่
- 2. มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ เลือดออก และการทำงานของปอดลดลง
- 3. คุณอาจรู้สึกเจ็บบริเวณผ่าตัดหรือผนังหน้าอกเป็นเวลานาน
- 4. ใช้เวลาพักฟื้นนานและรักษาไม่ทั่วถึงจึงเกิดซ้ำได้ง่ายหลังการผ่าตัด
- การฉายแสง
- 1. ผิวหนังบริเวณที่ถูกฉายรังสีอาจมีสีแดง บวม เจ็บปวด และลอกออก
- 2. ทำให้เกิดพังผืดในปอด เช่น เนื้อเยื่อปอดเป็นแผลเป็น หายใจลำบากเป็นเวลานาน เป็นต้น
- 3. หากบริเวณที่ฉายรังสีอยู่ใกล้หัวใจ ความเสี่ยงของโรคหัวใจก็จะเพิ่มขึ้น
- การคีโม
- 1. มักมีผลข้างเคียงร่วมด้วย เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน
- 2. จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้ผู้ป่วยอ่อนแอต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- 3. ง่ายต่อการพัฒนาความต้านทานต่อยาเคมีบำบัด ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง
- 4. ความถี่ในการรักษามักจะต้องทำต่อเนื่องประมาณ 8-24 ครั้ง ซึ่งส่งผลต่อชีวิตและการทำงานของคนไข้
จากสถิติพบว่ามะเร็งกระเพาะอาหารของชายไทยคิดเป็น 7.9% ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด และ 9.5%
ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งหมดในปี 2563
มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่ผู้ชายไทยต้องเผชิญ
มะเร็งของต่อมเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งคิดเป็นประมาณ 90% มะเร็งชนิดอื่นๆ
ได้แก่ เนื้องอกในกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
- กระเพาะอาหารมีอาการร้อนแสบและอาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียนหรือสำรอก
- แน่นท้องและปวด
- ท้องร่วงหรือท้องผูก
- อาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระเป็นเลือด
- อ่อนแรง
ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามส่วนใหญ่จะมีอาการชัดเจน เช่น ปวดท้อง อาเจียน น้ำหนักลด
หากมีเลือดออกเนื่องจากมีเนื้องอกแทรกซ้อนจากแผลจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำหรือเป็นเลือด และในรายที่รุนแรงอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นลม และอาจถึงขั้นช็อกได้
- ประมาณ 65% ถึง 95%: ระยะแรก (ระยะที่ 1):
- ประมาณ 25% ถึง 70%: ระยะลุกลาม (ระยะ II-III):
- ประมาณ 25% หรือน้อยกว่า: ระยะสุดท้าย (ระยะ IV):
การระกษาด้วยเทคนิคบาดแผลเล็ก
- 1. ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้อง กระเพาะอาหารจะคงอยู่ได้มาก และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยจะลดลง
- 2. บาดเจ็บน้อยลง ผลข้างเคียงน้อยลง ภาวะแทรกซ้อนน้อยลง และฟื้นตัวเร็วขึ้น
- 3. ระยะเวลาการรักษาสั้น: ระยะเวลาการรักษาประมาณ 1 ถึง 2 สัปดาห์ และระยะเวลาพักฟื้นสั้น
- 4. ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรอคิวเข้ารับการรักษา สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันทีที่รงพยาบาลของเรา
- 5. การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวเพื่อให้มั่นใจถึงความเป็นส่วนตัวในระดับที่ดี
- การผ่าตัดช่องท้องแบบดั้งเดิม
- 1. อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อ และการตกเลือดหลังการผ่าตัด
- 2. การบริโภคสารอาหารอาจลดลงหลังการผ่าตัด โดยจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางโภชนาการเพิ่มเติม
- 3. แผลผ่าตัดยาวประมาณ 20 ซม. ใช้เวลาผ่าตัดนาน ระยะเวลาพักฟื้นนาน และผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานมาก
- การฉายแสง
- 1. มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงและอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และผลข้างเคียงอื่นๆ ได้
- 2. อาจทำให้เกิดความเสียหายจากรังสีได้ง่าย เช่น เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ และพังผืดในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้ระบบทางเดินอาหารไม่สบายได้
- 3. การรักษามักใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ส่งผลต่อชีวิตและการทำงานของผู้ป่วย
- การคีโม
- 1. ผลข้างเคียงมีความรุนแรง มักมาพร้อมกับผลข้างเคียง เช่น ผมร่วง โลหิตจาง และอาเจียน
- 2. ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเกิดความต้านทานต่อยาเคมีบำบัด ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงในแต่ละวัน
- 3. วงจรการรักษามีระยะเวลายาวนาน ปกติประมาณ 8-24 ครั้ง ซึ่งส่งผลต่อชีวิตและการทำงานของคนไข้
มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นสาเหตุของอัตราการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในผู้ชายที่มีนัยสำคัญในประเทศไทย
จากข้อมูลในปี 2563 มะเร็งต่อมลูกหมากคิดเป็นประมาณ 9.5% ของอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งในผู้ชาย
และประมาณ 6.6% ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในประเทศไทย
มะเร็งต่อมเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งคิดเป็นประมาณ 95%
มะเร็งชนิดอื่นๆ
ได้แก่ มะเร็งระยะลุกลาม มะเร็งเซลล์ขนาดเล็ก และมะเร็งเซลล์สความัส
- ปัสสาวะลำบาก
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดหรือแสบร้อนขณะปัสสาวะ
- ปัสสาวะเป็นเลือดหรือน้ำอสุจิเป็นเลือด
อาการอื่นๆ ได้แก่ อาการปวดหลังส่วนล่าง (หากเซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังกระดูกข้างเคียง) โรคโลหิตจาง (เนื่องจากมีเลือดออกซ่อนเร้น) และต่อมน้ำเหลืองบวม
- ประมาณ 100%: ระยะแรก (ระยะที่ 1):
- ประมาณ 80%: ระยะลุกลาม (ระยะ II-III):
- ประมาณ 30%-40%: ระยะสุดท้าย (ระยะ IV):
การรักษาด้วยเทคนิคบาดแผลเล็ก
- 1. ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ลูกหมากและการทำงานยังคงอยู่ในระดับที่ดี ความแม่นยำในการผ่าตัดสูง และภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหลังการผ่าตัดจะลดลงอย่างมาก
- 2. ความเจ็บปวดหลังการรักษาน้อยลง ฟื้นตัวเร็วขึ้น ปรับปรุงคุณภาพชีวิตทางเพศของผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอารมณ์ด้านลบ และรักษาศักดิ์ศรีความเป็นชาย
- 3. ระยะเวลาการรักษาสั้น ประมาณ 1 สัปดาห์ ระยะเวลาพักฟื้นสั้น
- 4. ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรอคิวและสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันทีทีหลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
- 5. การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว ปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ป่วยในระดับที่ดี
- การผ่าตัดต่อมลูกหมาก
- 1. หลังการผ่าตัดมีการติดเชื้อและการตกเลือด และผลข้างเคียง เช่น ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สมรรถภาพทางเพศเสื่อม และการสูญเสียความใคร่
- 2. จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการผ่าตัดซึ่งอาจส่งผลเสียต่อจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วยได้ง่าย
- 3. แผลผ่าตัดยาวประมาณ 15 ซม. ใช้เวลาผ่าตัดนาน ใช้เวลาพักฟื้นนาน และคนไข้ต้องทนทุกข์ทรมานมาก
- การฉายแสง
- 1. อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า ผิวหนังแดง บวมและคัน ปัญหาทางเดินปัสสาวะและลำไส้ ฯลฯ
- 2. อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร
- 3. การรักษามักใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ซึ่งส่งผลต่อชีวิตและการทำงานของผู้ป่วย
- การคีโม
- 1. มักมีผลข้างเคียงร่วมด้วย เช่น ผมร่วง โลหิตจาง และอาเจียน
- 2. อาจมีอาการกดไขกระดูก อาการชาและรู้สึกเสียวซ่าตามมือและเท้า และกดระบบภูมิคุ้มกัน
- 3. ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเกิดความต้านทานต่อยาเคมีบำบัด ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงในแต่ละวัน
-
เทคนิคคลื่นวิทยุ
ชนิดของการรักษา:
มะเร็งเต้านมมะเร็งชนิดลุกลามต่างๆ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม เป็นต้น -
มีดคังโป
ชนิดของการรักษา:
มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน มะเร็งไทรอยด์ เนื้องอกต่อมหมวกไต, ช่องท้อง เนื้องอกอุ้งเชิงกราน เป็นต้น -
เทคนิคแบบเฉพาะจุด
ชนิดของการรักษา:
มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ เป็นต้น -
การฝังแร่อนุภาคสามมิติ
ชนิดของการรักษา:
มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมและมะเร็ง ชนิดรักษายากอื่นๆ